|
ประวัติความเป็นมากรีฑา
กรีฑานับเป็นกีฬาเก่าที่เกิดมาพร้อมกับมนุษย์
เพราะแต่ก่อนมนุษย์ไม่รู้จักทำมาหากินเป็นหลักแหล่ง ไม่รู้จักสร้างที่พัก
ตลอดจนสร้าง
|
เครื่องนุ่งห่มเหมือนมนุษย์ปัจจุบัน
มนุษย์สมัยนั้นต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติ
และความดุร้ายของสัตว์ป่านานาชนิดและมีที่อยู่อาศัยแห่งเดียวกัน คือ
|
ถ้ำ ซึ่งเรียกว่า "มนุษย์ชาวถ้ำ" (Cave
man) และที่แห่งนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของการกีฬา
โดยที่มนุษย์เหล่านี้ต้องป้องกันตัวเองจากสัตว์ร้าย
|
บางครั้งต้องวิ่งเร็วเพื่อให้พ้นจากสัตว์ร้ายการวิ่งเร็ว หากเทียบกับปัจจุบันก็คือการวิ่งระยะสั้น
หากการวิ่งหนีต้องใช้เวลาในการวิ่งนาน ๆ ก็คือ
|
การวิ่งระยะยาวหรือวิ่งทน
|
|
การวิ่งในที่นี้อาจรวมไปถึงการวิ่งเพื่อไล่จับสัตว์มาเป็นอาหารหรือการต่อสู้ระหว่างเผ่า
ในบางครั้งขณะที่วิ่งมีต้นไม้หรือก้อนหิน
|
ขวางหน้า ถ้าเป็นที่ต่ำก็สามารถกระโดดข้ามได้
ปัจจุบันคือ การกระโดดข้ามรั้ว และกระโดดสูง
ถ้าต้องการกระโดดข้ามได้อย่างธรรมดาจำเป็น
|
ต้องหาไม้ยาวๆ มาปักกลางลำธารหรือแง่หิน
และโหนตัวข้ามไปยังอีฝั่งหนึ่ง
กลายเป็นการกระโดดค้ำ การใช้หอกหรือแหลนหลาวที่ทำด้วยไม้
|
ยาวๆ เป็นอาวุธพุ่งฆ่าสัตว์
ปัจจุบันก็กลายมาเป็นพุ่งแหลน หรือการเอาก้อนหินใหญ่ๆ มาทุ่มใส่สัตว์
ขว้างสัตว์ กลายมาเป็นการขว้างจักรในปัจจุบัน
|
จึงเห็นได้ว่าการ วิ่ง กระโดด ทุ่ม พุ่ง
ขว้าง เหวี่ยง ที่พ่อแม่ หรือหัวหน้าเผ่าสั่งสอนถ่ายทอดให้ในสมัยนั้นมีไว้เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันใน
|
ปัจจุบันก็มีเช่นเดียวกัน
ซึ่งผู้ทำหน้าที่นี้คือ ครูอาจารย์และโค้ชนั่นเอง
|
|
สมัยกรีก
ชาวกรีกโบราณเป็นผู้ริเริ่มการเล่นกีฬาขึ้นหลายอย่าง เมื่อราว 1,000 ปี
ก่อนคริสต์กาล กรีก คือชนเผ่าหนุ่มซึ่งอพยพมาจาก
|
ทางเหนือเข้ามาอยู่ในคาบสมุทรบอลข่าน
และตั้งรกรากปะปนกับชาวพื้นเมืองเดิม แล้วสืบเชื้อสายผสมกันมาเป็นชาวกรีก
ต่อมากรีกได้เจริญรุ่งเรือง
|
จนถึงขีดสุดในด้านต่างๆ ทั้งด้านปรัชญา
วรรณคดี ดนตรี และการพลศึกษา โดยเฉพาะด้านการพลศึกษา
นับว่ามีบทบาทสำคัญในชีวิตความเป็น
|
อยู่ของชาวกรีก อย่างยิ่ง
|
|
เนื่องจากประเทศกรีกมีลักษณะภูมิศาสตร์ที่เต็มไปด้วยภูเขา
ความเป็นอยู่ในสมัยนั้นจึงเป็นไปอย่างหยาบๆ กรีกจะแบ่งออกเป็นรัฐ
|
โดยแต่ละรัฐปกครองตนเอง
และเมื่อแต่ละรัฐคิดที่จะแย่งกันเป็นใหญ่ จึงมีการรบพุ่งกันอยู่เสมอ
รัฐที่สำคัญและเข้มแข็งมีอยู่สองรัฐคือ เอเธนส์
|
และสปาร์ต้า
ชาวกรีกมีความเชื่อในพระเจ้าต่างๆ หลายองค์ด้วยกัน เช่น
|
|

1. เทพเจ้าซีอุส (Zeus) เป็นประธานหรือพระเจ้าองค์ใหญ่ที่สุดในบรรดาพระเจ้าทั้งหลาย
|
|
|
|
|
|
|
2. พระเจ้าอะธินา (Athena) คือเทพธิดาแห่งความ
เฉลียวฉลาด
|
3. เทพเจ้าอะพอลโล (Apollo) คือเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง
กับความจริง
|
4. เทพเจ้าเฮอร์เมส (Hermes) คือเทพเจ้าแห่งการสื่อสาร
|
5. เทพเจ้าอาเรส (Ares) คือเทพเจ้าแห่งสงคราม
|
6. เทพเจ้าอาร์ทีมิส (Artemis) คือเทพธิดาแห่งการล่าสัตว์
|
|
|
ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านี้สถิตอยู่บนยอดเขาโอลิมปัส
(Olimpus) คล้ายกับเป็นผู้ชี้ชะตาของชาวกรีก
ชาวกรีกจึงพยายามที่
|
จะเอาใจ ทำความเข้าใจ และสนิทกับพระเจ้า
โดยการบวงสรวงหรือทำพิธีกรรมต่าง ๆ
เพื่อฉลองพระเกียรติของพระเจ้าเหล่านั้น ดังนั้นเวลา
|
กระทำพิธีหรือมีงานฉลองมหกรรมใด ๆ
ชาวกรีกจะจัดการแข่งขันกีฬาขึ้น ณ บริเวณยอดเขาโอลิมปัส
แต่ต่อมาคนมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
|
จึงย้ายสถานที่ลงมาที่ราบเชิงเขาโอลิมปัส
เพื่อเป็นการถวายความเคารพบูชาต่อเทพเจ้าซีอุส
ประธานแห่งเทพเจ้าทั้งหลายของตนอย่ามโหฬาร
|
อนึ่งเมื่อเสร็จสิ้นการบวงสรวงตามพิธีการทางศาสนาแล้ว
ก็มีการจัดการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ ขึ้นดังได้กล่าวมาแล้วซึ่งการแข่งขันจะไม่มี
|
พิธีรีตรองอะไรมากนัก
เป็นเพียงแข่งขันไปตามที่กำหนดให้เท่านั้นผู้ชนะของการแข่งขันก็ได้รับรางวัล
ความมุ่งหมายในการแข่งขันของกรีก
|
สมัยนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พลเมืองมีสุขภาพสมบูรณ์
และมีร่างการที่สมส่วนสวยงาม
|
|
เมื่อกรีกเสื่อมอำนาจลงและต้องตกอยู่ภายใต้การครอบตรองของชนชาติโรมัน
การกีฬาของกรีก เริ่มเสื่อมโทรมลงตามลำดับ-
|
ถึงปี พ.ศ. 937 ธีโอดอซีอุส
มหาราชแห่งโรมัน ประกาศห้ามชาวกรีก ประชุมแข่งขันกีฬาอีก
จึงทำให้การเล่นกีฬาของกรีกต้องล้มเลิกไปเป็น
|
เวลานานถึง 15 ศตวรรษ
|
|
สมัยโรมัน ต่อมาในปลายสมัยของโฮเมอร์
มีชนเผ่าหนึ่งมาตั้งรกรากอยู่บนฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ ด้านตะวันออกของกรีก
ซึ่งภายหลัง
|
ได้กลายเป็นพวกโรมันชาตินักรบ
มีความกล้าหาญอดทน และมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ขึ้นมาพร้อมๆ
กับความเสื่อมลงของประเทศกรีก ชาวโรมันนิยม
|
และศรัทธาพลศึกษามากเป็นชีวิตจิตใจ
เขาถือว่าพลศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตประจำวัน
ชาวโรมันฝึกฝนบุตรของตนมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง
|
ให้มีความสามารถในเชิงดาบ โล่ห์ แหลน
ในการสู้รบบนหลังม้า รวมทั้งการต่อสู้ประเภทอื่น ๆ
สนามฝึกหัดกีฬาเหล่านี้เรียกว่า แคมปัสมาร์ติอุส
|
(Campusmartius) เป็นสนามกว้างใหญ่อยู่นอกตัวเมือง
และมีสถานฝึกแข่งว่ายน้ำสำคัญเรียกว่า เธอร์มา (Therma)
และมีสนามกีฬา
|
แห่งชาติขนาดใหญ่ในกรุงโรมที่จุคนได้ถึง 200,000
คน
เรียกว่า โคลิเซี่ยม (Coliseum)
|
|
|
ชาวโรมันชายทุกคนต้องเป็นทหารในยามสงคราม
เขาจึงฝึกพลศึกษาการต่อสู้แบบต่าง ๆ
ในค่ายฝึกเสมอ ด้วยผลแห่งการฝึก
|
พลศึกษา การกีฬา
และเชิงรบแต่เยาว์วัยของประชาชน โรมันจึงมีกองทัพอันเข้มแข็ง
และสามารถแผ่อำนาจเข้าครองดินแดนรอบทะเลเมดิเตอร์-
|
เรเนียน และยุโรปตะวันตกบางตอน
รวมขึ้นเป็นราชอาณาจักรโรมัน (The Roman Empire) ต่อมาราชอาณาจักรโรมันก็เสื่อมลงเนื่องจาก
|
สาเหตุหลายประการ
การเสื่อมความนิยมในพลศึกษาซึ่งเป็นมูลเหตุสำคัญข้อหนึ่งเพราะชาวโรมันกลับ
เห็นว่าพลศึกษาเป็นของต่ำจึงเลิกเล่น
|
กีฬาหันไปใช้พวกทาสแกลดิเอเตอร์ (Gladiators)
ต่อสู้กันเองบางครั้งก็ต่อสู้กับสัตว์ร้ายและเห็นว่าการศึกษาวิชาการมีประโยชน์กว่าวิชา
|
พลศึกษา
ดังนั้นโรมันจึงกลายเป็นชาติที่อ่อนแอ
จนถึงกับใช้ทหารรับจ้างในยามศึกสงครามแล้วในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่ชนชาวติวตัน (Tue
Ton)
|
อันเป็นชาติที่นิยมกีฬากลางแจ้ง
และมีร่างการแข็งแรงสมบูรณ์
|
|
สมัยปัจจุบัน พ.ศ. 2435 นักกีฬาชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง
มีฐานันดรศักดิ์เป็น บารอน เปียร์ (บางท่านอ่านว่าปิแอร์)
เดอ กูแบรแตง
|
(Baron Piere de Coubertin) ท่านผู้นี้มีความสนใจในการกีฬาอย่างยิ่ง
ได้พิจารณาเห็นว่าการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศเป็นการเชื่อม
|
ความสามัคคี
ผูกมัดสัมพันธภาพระหว่างชาติต่างๆ ที่ร่วมการแข่งขันด้วยกัน
เป็นการสมาคมชั้นสูง เพื่อแลกเปลี่ยนจิตใจของนักกีฬาอันแท้จริง
|
ต่อกัน ไม่มีการผิดพ้องหมองใจกัน
ซึ่งการแข่งขันกีฬาโอลิมเปียดสมัยโบราณได้ยุติลงเมื่อ พ.ศ. 935
เป็นเหตุที่ทำให้ห่วงสัมพันธภาพในการ
|
กีฬาขาดสะบั้นลง
และเป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง
|
|
ท่านผู้นี้จึงได้เชื้อเชิญสหายคือ ศาสตราจารย์
W. Stone แห่งสหรัฐอเมริกา Victor Black
แห่งสวีเดน Dr. Jiriguch
|
แห่งโบเฮาเมีย Sir Johe
Astenley แห่งบริเตนใหญ่ ร่วมกันเปิดการประชุมกีฬาโอลิมปิกขึ้นใหม่
โดยยึดเอาอุดมคติแห่งความยุติธรรม
|
อ่อนโยน สุภาพ มั่นคง
และกำลังเป็นมูลฐานตามวัตถุประสงค์ของ โอลิมเปียดโบราณที่ว่า
Citus, Altius, Fortius (เร็ว, สูง,
แรง)
ผู้สนใจ
|
การกีฬาคณะนี้ได้ปรึกษาหารือกัน
จนกระทั่งวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2437 จึงได้เกิดการประชุมใหญ่
ระหว่างผู้แทนประเทศต่าง ๆ ที่เมือง
|
เซอร์มอนน์ ประเทศฝรั่งเศส
และได้ประกาศตั้งคณะกรรมการโอลิมปิกระหว่างประเทศ
(International Olympic Committee) และ
|
ตกลงกันให้มีการชุมนุมกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกของสมัยปัจจุบันที่กรุงเอเธนส์
ประเทศ กรีก ใน พ.ศ. 2439 บารอน เปียร์ เดอ กูแบรแตง ได้มอบ
|
คำขวัญให้ไว้แก่การแข่งขันโอลิมปิกสมัยปัจจุบันนี้ว่า
"สาระสำคัญในการแข่งขันโอลิมปิก ไม่ใช่การชนะ
แต่สำคัญอยู่ที่การเข้าร่วมแข่งขัน 4 ปี
|
ต่อ 1 ครั้ง โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันระหว่างประเทศในเครือสมาชิก"
โดยความคิดของ บารอน เปียร์ เดอ กูแบรแตง ที่ได้รื้อฟื้นการแข่งขัน
|
โอลิมปิกขึ้น
มิใช่เฉพาะเพื่อชัยชนะของผู้แข่งขันเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญ คือ
การเข้าร่วมก่อให้เกิดสุขสันติภาพระหว่างชาติ และก้าวไปสู่สันติของโลก
|
|
ประวัติการแข่งขันกรีฑาในประเทศไทย
|
|
การแข่งขันกรีฑาภายในประเทศไทย
ได้เริ่มจัดให้มีการแข่งขันเมื่อวันที่ 11 มกราคม
พ.ศ.2440 พิธิเปิดการแข่งขันกรีฑานักเรียน
|
ครั้งแรกในประเทศไทยนี้ คณะกรรมการ และบรรดา
นักเรียนในกรุงเทพฯ ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
|
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนิน มาทรงเป็น ประธานเปิดงาน และทอดพระเนตรการแข่งขัน
|
กรีฑานักเรียน ณ ท้องสนามหลวง นับตั้งแต่นั้นมากระทรวงธรรมการ
ได้พยายามจัดให ้มีการแข่งขัน กรีฑานักเรียนเป็นประจำตลอดมา ปี
พ.ศ.
|
2476 รัฐบาลตั้งกรมพลศึกษาขึ้น
กรมพลศึกษามีนโยบายส่งเสริมการกีฬาและการกรีฑาของชาติให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
หลังจากตั้งกรมพลศึกษา
|
ขึ้นมาแล้ว กีฬาและกรีฑา
ได้รับการสนับสนุนจัดให้มีการแข่งขันหลายประเภท เช่น กรีฑาระหว่างโรงเรียน
กรีฑาระหว่างมหาวิทยาลัย และกรีฑา
|
ระหว่างประชาชน ปี
พ.ศ. 2494 ได้จัดตั้งสมาคมกรีฑาสมัครเล่นแห่งประเทศไทย
ซึ่งอยู่ในความอุปการะของกรมพลศึกษา
รับช่วงงานการ
|
แข่งขันกรีฑาประเภทมหาวิทยาลัย ประชาชนไปดำเนิน
งานแทนในปี พ.ศ. 2504 ได้จัดตั้งองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทยขึ้น
มีหน้าที่
|
โดยตรง ในการส่งเสริมกีฬาประชาชน
โดยจัดให้มีการแข่งขันกีฬาเขตทุก ๆ ปี หมุนเวียนกันไป แต่ละ จังหวัด
ในการแข่งขันกีฬาเขตนี้ (ปัจจุบัน-
|
เปลี่ยนชื่อเป็นการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ)
ถือว่ากรีฑาเป็นกีฬาหลักที่ต้องมีการแข่งขันทุกครั้ง
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น